ความรู้เกี่ยวกับรีไฟแนนซ์

รีไฟแนนซ์ (REFINANCE)

รีไฟแนนซ์ (REFINANCE)

คือ การที่เราไปกู้เงินก้อนใหม่มาเพื่อไปใช้หนี้คืนเงินก้อนเก่าที่กู้ยืมมา โดยประโยชน์ที่เราจะได้รับคือเงินกู้ก้อนใหม่จะมีอัตราดอกเบี้ย(INTEREST)ที่ต่ำกว่า อัตราดอกเบี้ย (INTEREST) ที่ได้รับในตอนแรกเนื่องจากช่วงที่เราไปขอดอกเบี้ย (INTEREST) ครั้งแรก อาจมีอัตราดอกเบี้ย (INTEREST) ที่สูง เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น ปัจจุบันสถาบันการเงินต่าง ๆ ในประเทศได้มีการเพิ่มจำนวนขึ้นมาก และการแข่งขันด้านการตลาดที่สูงขึ้น ทำให้ผู้รับบริการมีทางเลือกในการรับบริการมากขึ้น ผู้รับบริการก็จะได้รับประโยชน์สูงสุด หากจะให้ดีควรรับการรีไฟแนนซ์ (REFINANCE)  ในสถาบันการเงินเดิม เพื่อความสะดวกในการดำเนินการและประหยัดค่าใช่จ่ายต่าง ๆ ที่จะตามมาภายหลัง แต่ถ้าหากเราต้องการย้ายไปยังสถาบันการเงินใหม่ ก็ต้องมีประวัติการผ่อนชำระค่างวดจากสถาบันการเงินเดิมที่ดี เรียกว่าไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยมาก่อน แต่ถ้าเรามีพฤติกรรม จ่ายช้า ชำระไม่ตรงวันนั้นของเดือนไปหลาย ๆ วัน จ่ายเดือนเว้นเดือนหรือไม่จ่ายมาแล้ว 2 เดือน ก็คงไม่มีสถาบันการเงินนั้นรับพิจาราณาเราในการให้รีไฟแนนซ์ (REFINANCE) กับเขาอย่าแน่นอน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหมดหวังในการรีไฟแนนซ์ (REFINANCE) เพราะเรายังสามารถทำกับสถาบันการเงินเดิมของเราได้ต่อไป และยังมีค่าใช้จ่ายที่ประหยัดมากกว่าการย้ายสถาบันการเงินใหม่ตั้งเหลือพันบาท

 โดยมีข้อกำหนดในการดำเนินการและการผ่อนชำระค่างวด ดังนี้

       -    สัญญาของรีไฟแนนซ์(REFINANCE) หากเลิกสัญญาก่อนกำหนดจะต้องเสียค่าปรับตามที่กำหนดไว้ซึ่งแต่ละลิสซิ่ง(LESSEE) หากเรายกเลิกสัญญาเร็วก็จะมีค่าเสียหายที่มากขึ้น
-    สัญญาของรีไฟแนนซ์(REFINANCE)  หากรีไฟแนนซ์(Refinance) กับสถาบันการเงินที่ใหม่ จะมีค่าจัดการสินเชื่อตามสัญญาใหม่ โดยค่าใช้จ่ายจะคิดเป็น เปอร์เซ็น ของวงเงินทั้งหมด
-    สัญญาของรีไฟแนนซ์(REFINANCE) จะมีค่าธรรมเนียมในการจำนอง คิดเป็นเปอร์เซ็นของราคาประเมิน สามารถไปจ่ายที่กรมที่ดิน แต่หากใช้สถาบันการเงินเดิมจะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้
-    สัญญาของรีไฟแนนซ์(REFINANCE)  จะมีค่าประเมินราคาหลักประกัน คิดเป็นเปอร์เซ็นของราคาประเมิน แต่หากใช้สถาบันการเงินเดิมจะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้
-    สัญญาของรีไฟแนนซ์(REFINANCE)  จะมีค่าอากรแสตมป์ คิดเป็นเปอร์เซ็นของราคาประเมิน แต่หากใช้สถาบันการเงินเดิมจะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

ข้อดีของการรีไฟแนนซ์(REFINANCE)  

-    ด้ประโยชน์ในการรับอัตราดอกเบี้ย(INTEREST)ที่ต่ำลง ทำให้ประหยัดค่าผ่อนชำระค่างวดที่เหลืออยู่

-    ผู้ใช้บริการรีไฟแนนซ์(REFINANCE) สามารถเริ่มต้นในการคิดคำนวณค่าต่าง ๆ ได้ใหม่ เช่น ค่างวด , อัตราดอกเบี้ย(INTEREST)และระยะเวลาในการผ่อน

-    การรีไฟแนนซ์(REFINANCE) สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ หากเรามียอดชำระไม่สูงมากนัก โดยจะได้รับจากเงินส่วนต่าง จากการประเมิน

ข้อเสียของการรีไฟแนนซ์(REFINANCE)  

-    ในการย้ายสถาบันการเงินมักจะมีรายจ่ายที่สูงไม่คุ้มกับการทำรีไฟแนนซ์(REFINANCE) หากจะให้ดีควรหาสถาบันการเงินใหม่ที่มีดอกเบี้ย(INTEREST)ต่ำกว่าที่เดิมสัก 2 – 3%

-     จะต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยเป็นเงินสดจากการกู้เดิม เพื่อปิดบัญชีเก่า โดยคิดดอกเบี้ยแบบ Flat Rate ในระบบสินเชื่อรถยนต์

-     ต้องจ่ายค่าปรับเพิ่มตามเงื่อนไขของการปิดบัญชีสินเ ชื่อก่อนกำหนด

-     ผู้รับบริการต้องชำระค่าเบี้ยประกันภัย(INSURANCE) ชั้น 1 ตามเงื่อนไขของบริษัทหรือธนาคาร ในปีแรกทุกคัน หากประกันภัย(INSURANCE) ชั้น 1 ที่ติดมากับรถยนต์ของเรามีอายุเหลือในการคุ้มครอง 6 เดือนหรือน้อยกว่านั้น แต่ถ้าหากความคุ้มครองตามกรมธรรม์เดิมเหลือมากกว่า 6 เดือน หรือในกรณีที่ลูกค้าเลือกที่จะซื้อประกันภัย(INSURANCE) โดยไม่ผ่ านบริษัทที่รับรีไฟแนนซ์ (REFINANCE)  ลูกค้าจะต้องจ่ายเงินให้กับบริษัทที่รับ             รีไฟแนนซ์นั้นๆ (เพื่อเป็นค่าธรรมเนียมตามที่บริษัทรับรีไฟแนนซ์อ้าง  มากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนเบี้ยประกันภัย(INSURANCE) ที่จ่าย และระยะเวลาคุ้มครองที่เหลืออยู่

เอกสารยืนขอ รีไฟแนนซ์ (REFINANCE)

คุณสมบัติเบื้องต้นของลูกค้า

  ü ผู้สมัครต้องมีอายุ 20 ขึ้นไป

             ü ผู้สมัครต้องมีภูมิลำเนาที่แน่นอนอยู่ในประเทศที่ให้บริการ

             ü มีโทรศัพท์ติดต่อได้สะดวก

             ü มีประวัติการผ่อนชำระค่างวดที่ดี ไม่มียอดคงค้าง

                                                        

เอกสารให้การใช้ยืนขอ รีไฟแนนซ์ (REFINANCE) มีดังนี้

-      สำเนาทะเบียนบ้าน (หน้าแรกกับหน้าที่มีชื่อตนเอง)

-      สำเนาบัตรประจำตัวหรือบัตรข้าราชการหรือบัตรพนักงาน รัฐ  วิสาหกิจ

-      เอกสารยืนยันรายได้ , สลิปเงินเดือน / หนังสือรับรองเงินเดือน ภายใน 3 เดือนล่าสุดหรือหนังสือ

       รับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50  ทวิ) ของปีล่าสุด

-    สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน (หน้าแรกและหน้าบัญชี)

-    เอกสารสำคัญเกี่ยวกับสินทรัพย์ เช่น ทะเบียนรถและอื่นๆที่เกี่ยวข้อง